สี่แผ่นดิน อินโดจีน : จากสยามสู่ กัมพูชา-เวียดนาม-ลาว : วันที่ 5

 11 พ.ค. 2549

1
กว่าจะถึง…พนมเปญ

     เช้านี้ตื่นมาตามเวลาที่ตั้งปลุกไว้ ตอนตีห้าครึ่ง หากวันนี้เจ้านาฬิกาตัวดีไม่ทำงาน หรือเผลอกดปิดนอนต่อคงเป็นเรื่องแน่ ด้วยวันนี้ จะต้องมารอขึ้นรถไปพนมเปญตอนเจ็ดโมง ออกมานั่งรอรถอยู่ที่หน้า GH

     พี่พิมกับพี่วินนั่งทานกาแฟกันอยู่ก่อนแล้ว เพื่อรอรถกลับกรุงเทพฯ เมื่อพบกันก็ย่อมมีวันจากลา อันเป็นเรื่องธรรมดา พี่ทั้งสองกลับไปยังจุดเริ่มต้นของผม แต่เป็นจุดสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ ในขณะที่ของผมมันยังเป็นเพียงจุดหมายแรกที่มาถึง และผมก็ยังต้องไปต่ออีกไกล

*ด้านหน้า Garden Village GH.

     วันนี้มากิ ก็กำลังออกไปเที่ยวตามทางของตัวเองเป็นวันแรก กับพลขับของเธอคนเดิม ต่างคนก็ล้วนต่างมีเส้นทางเดินเป็นของตัวเอง ผมก็เช่นกัน แต่มิตรภาพระหว่างทางที่พานพบจะไม่มีวันจางหายไป ตามการจากลา

*รถรับจ้างแบบฮันนีมูนซีท
     แปดโมงแล้ว รถที่จะมารับก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาถึง หรือมันไปแล้ว กระนั้นเลยจึงไปถามได้ความว่า จะต้องนั่งรถมอเตอร์ไบด์ที่จัดมาให้ ไปยังท่ารถเป็นการด่วน รถวิ่งออกมาไกลจากตัวเมืองมากเอาการจนพานคิดไปว่า หรือจะต้องนั่งเจ้านี่ไปจนถึงพนมเปญเสียอีก

*บริเวณย่านตลาดเก่า

*สภาพอาคารในเมือง

     ซวยซ้ำฝนเจ้ากรรมที่ตกเหมือนฉี่ยุง เมื่อตอนเช้ากลับตาลปัตรเล่นพิเลน ตกมาห่าใหญ่เป็นช้างฉี่ระหว่างทางไปเสียได้ พลอยทำให้ เสื้อผ้า หน้าผม เป๋าเป้ เป๋ากล้อง เป็นต้องฉิบหาย ชุ่มฉ่ำ กันถ้วนหน้า จนถึงท่ารถกันเลย

     รถบัสสีเงินคาดส้มจอดเย้ยหยัน อยู่ท่ามกลางสายฝน พร้อมกันคนรถที่มาขอดูตั๋ว “เฮ้ยพี่เอากระเป๋าตูไปยัดใต้รถ และให้ตูขึ้นไปบนรถก่อน ตู เปียก!” ไม่ช้าก็กุลีกุจอมาช่วยเป็นการใหญ่
บนรถผมเหมือนเป็นตัวประหลาด สายตาทุกคู่บนรถล้วนจับจ้อง แหมดูออกด้วยว่าผมไม่เข้าพวก ด้วยเพราะบนรถมีแต่คนเขมร หาเจอพวกหัวแดงหัวทองก็เป็นไม่มี โชดยังดีที่คนนั่งข้างหลังพอพูดประกิตได้บ้าง ไม่งั้นคงเมื่อมือน่าดู

     รถวิ่งไปตามถนน 2 เลนสวนกัน ผ่านบ้านเรือนที่สร้างตามแบบพื้นเมือง สลับกับทุ่งนาสีเขียว ที่แสนเคลิบเคลิ้ม สบายตา ไม่นานนักก็มาจอดแวะเติมเสบียงใส่ท้องที่ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า ที่ร้านอาหารของคนจีน ดูแผนที่และถามไถ่ก็ได้ความว่า ที่นี่คือเมืองกำปงธม ยังคงเหลืออีกครึ่งทางได้
 
2
ถึงซะที…พนมเปญ

     บ่ายสองครึ่ง รถมาจอดให้ลงที่บริเวณตลาด ซาจ๊ะ ริมแม่น้ำ จัดแจงเรียก ตุ๊ก ตุ๊ก ที่จอดรอเหยื่อแถวนั้นให้ไปส่งแถวๆ ย่านบงแขก อันเป็นที่พักที่ โจนส์ แนะนำมาเมื่อคืนก่อน ในราคา 1 $
ตอนแรกกะไปพักที่ no. 9 GH ในราคา 4 $ ตามที่ได้ถูกแนะนำมา แต่เจ้าคนขับตัวดีอยากได้เปอร์เซนต์ พาเข้าไปอีกที่นึง บอกให้ลองดุก่อน ที่นี่ชื่อ No Problem GH. ซึ้งก็ใช้ได้ไม่มีปัญหาตามชื่อ มีห้องน้ำในตัว แถมราคาที่ต่อรองก็ยั่วเกินห้ามใจไหว 2 คืน 5 $ เป็นราคาที่ได้มา

*ทางเข้าแถบที่พักย่านบงแขก

     ที่พักแถบย่านบงแขก ส่วนใหญ่จะสร้างอยู่ติดแบบยื่นกันออกมาในทะเลสาบบกแขกอันเป็นที่มาของชื่อย่านนี้นั้นเอง โดยส่วนที่ติดกับน้ำมักจะสร้างเป็นที่นั่งกินอาหาร หรือปรับเป็นที่นั่งเล่นได้ บางที่ก็มีเปลให้นอนเล่นด้วย แถมตกเย็นก็สามารถชมพระอาทิตย์ตกกลางทะเลสาบได้อีก โรแมนติกน่าดูชมเชียว

     กลับเข้าห้องขอเอนหลังบนเตียงซักพัก พลางหยิบหนังสือ ดาวเดียวดาย มาอ่านหาข้อมูลเป็นต้นทุนสำหรับออกไปล่องช่วงเย็น

     สี่โมงเย็น เดินออกมาหาเช่าจักรยานพาหนะคู่ใจวัยทีน ในราคา 1 $ ก็รีบจัดแจงขี่ฮ้อออกไปไม่ได้ดงได้ดูแผนที่เลย จนขี่มาก็ชักจะออกห่างจากความเจริญไปทุกทีเลยต้องหยิบดาวเดียวดาย มาตรวจสอบพิกัดให้เข้าที่

     ด้วยรถราที่วิ่งขวักไข่วด้านหละ 4 เลน จนเต็มก็ยากนักสำหรับคนต่างถิ่นที่จะข้ามไปกลับรถยังเลนตรงกลางได้ นึกตั้งสติ ได้ซักพักก็ได้โอกาสเสียที อากาศที่แสนจะร้อนระอุ ทำให้เริ่มอยากมองหาร้านนั่งจิบน้ำเข้าซะแล้ว kiwi bakery บนถนน 63 คือจุดหมายปอง

*ตลาด Psar Tmai เปล่งแสงสีทองยามในยามเย็น

     ขี่หาร้านจนหน้าดำมันเยิ้ม ก็ไม่ยักกะเจอร้าน หรือมันคงไม่อยากจะเผยตัว ด้วยหมดความอดทนหลังจากขี่วนไปมาอีก 2 รอบ ก็ตัดใจไปเข้าห้างอาบแอร์ดีกว่า เสียค่าจอดจักรยานกันก่อน 500 เรียล

     ภายในห้างก็เหมือนกับห้างบ้านเรา แต่มีขนาดไม่ใหญ่มากเท่านั้นเอง ผู้คนต่างก็เข้ามาอาบแอร์เหมือนกัน ที่นี่ก็มีร้าน pizza company ด้วย ด้านบนของห้างก็ยังมี food court ให้ได้ลองกันด้วย ผมเลยเลือกไปกินข้าวที่นี่ ด้วยหวังว่าจะมีอะไรแปลกๆให้ได้ลองกัน

     แลกเงินเสร็จ ก็เดินเลือกร้านที่มีอยู่เรียงราย จนไปเจอกับร้านขายข้าวผัดเขมรเข้า ยืนงงเลือกไม่ถูกคนขายก็พูดปะกิตไม่ได้ เลยใช้วิธีชี้เอาจากคนที่เค้าสั่งก่อน ประมาณว่าเอาแบบนี่เลยนะ ถึงจะได้กิน

     ได้มาก็พินิจและลิ้มรส ก็ได้ว่ามันเป็นข้าวผัดลูกชิ้น กับก้ามปูอัด ที่โปะมา 2 อัน ราคา 5000 เรียลรสชาติก็ใช้ได้ติดอย่างเดียวตรงข้าวมันแข็งพิกล
ข้างนอกเริ่มมืดแล้ว กลับลงมาเอาจักรยานแล้วรีบขี่กลับแต่โดยไว ตลอดทางหาแสงสว่างแถบไม่เจอ อาศัยเพียงแสงจากหน้ารถที่ผ่านไปมา

     กลับมาอย่างปลอดภัย เอาจักรยานไปเก็บที่ๆพัก แล้วออกมาหาเบียร์กินที่ร้าน lazy Gacco แถวๆที่พัก แต่ดันผิดหวังเพราะร้านคนแน่นมาก ก็แน่อยู่แล้วเพราะร้านนี้ถูกแนะนำในดาวเดียวดาย ว่าน่านั่งเอามากๆนั้นเอง แล้วร้านก็ดีอย่างที่ว่าด้วยนั่นหละ

     สุดท้ายก็กลับมาตายรัง นั่งกินเบียร์ชิวหาพาเพลินที่ริมน้ำในที่พักตัวเอง

~ โดย dreamakersay บน มีนาคม 5, 2007.

ใส่ความเห็น