แคชเมียร์{Kashmir} แดนสวรรค์กลางดงกระสุน : วันที่ 3
^^^^โซนามาร์ค ปลายทางสู่หุบเขาหิมะขาว…ด้วยสองเท้าดำๆ^^^^
*ท่าเรือ
เก็บของเผ่นตั้งแต่ 7 โมงเช้า แม้แต่อาหารเช้าก็ไม่เอา เจ้าแซมก็ยังนอนไม่ยอมตื่นขนาดแกล้งทำเสียงดังแล้วนะ
เราออกมายืนสั่นท้าลมหนาวเรียกชิคาร่า แต่ก็ยังไม่มีผ่านมา จนคุณปู่คาดว่าน่าจะเป็นพ่อของลุงเจ้าของ แกเดินออกมาเจอพวกเราก็เข้าไปเรียกเจ้าแซมออกมาส่งพวกเราที่ฝั่ง
เราต้องรีบออกมาเดินหาโรงแรมบนฝั่งก่อนที่จะไปให้ทันรถออกตอน 9 โมง
*ชิวิตยามเช้าเริ่มต้นอย่างช้าๆ
ผมว่าคนแคชเมียร์ใช้ชีวิตได้น่าอิจฉามาก ผู้คนกว่าจะออกจากบ้านเปิดร้านค้าก็ปาเข้าไปเกือบ 9 โมงไปแล้ว จะมีก็แต่เหล่าทหารกล้าที่มายืนหนาวคุ้มกันพื้นที่แต่ก่อนฟ้าสาง
เมื่อวันที่มาถึงเป็นวันอาทิตย์ร้านค้าในเมืองปิดกันหมดโดยพร้อมเพรียง ทั้งเมืองดูเงียบสงบ
*เวิ้งน้ำใกล้ dal gate
สีสันของแสงแดดอ่อนๆกระทบน้ำ ต้นไม้ และเรือบ้าน สร้างสีสันที่สวยงามเกินกว่าภาพถ่ายจะเก็บหมด
เราเดินขึ้นฝั่งได้สักพักก็เจอกับคู่สามีภรรยาจากกัลกัตตาที่เจอเมื่อวานเค้าก็พักเรือบ้านเหมือนกัน 400 รูปีเองครับ ได้ทุกอย่างเหมือนกับเรา
เราทั้งหมดจะไปท่ารถบัสเช่นกัน เลยร่วมเดินไปด้วยกัน
*อาคารบ้านเรือนแถว Dal Gate กับ สามล้อดำ
*หน้า Dhum Dhum Hotel
เราเดินเรื่อยมาเพื่อหาโรงแรม Dhum Dhum Hotel ที่อยู่แถว dal gate เคยเห็นในกระทู้ของพี่โรม ดูในLP ราคาก็ย่อมเยา เมื่อวานนั่งรถผ่าน เล็งเอาไว้แล้ว
เช้านี้ประตูยังคงปิดอยู่ เราก็ดึงมันขึ้นเดินขึ้นไปขอดูห้อง ที่ชั้น 3 ห้องราคา 600 รูปีมีห้องน้ำในตัว สะอาดใช้ได้ครับ คุณลุงที่ยืนอยู่ในรูปก็อัธยาศัยดีมากครับ
*สามล้อแคชเมียร์( Auto Rickshaw )
สองสามีภรรยาขอเดินล่วงหน้าไปก่อน ในระหว่างที่เราติดต่อเรื่องห้องพัก ออกมาเราก็เรียกสามล้อคันนี้ไปส่งที่ท่ารถบัส 40 รูปี ตอนแรกลุงแกคิดว่าไปคนเดียวคิด 20 รูปี แต่ผมว่าจากโรงแรมมันไม่ไกลมากน่าจะอยู่ที่ 30 ไม่เกิน
*หน้าทางเข้าท่ารถบัส
ฝั่งตรงข้ามท่ารถบัสเป็นคิวท่ารถแท็กซี่ซูโม่ หากไม่อยากนั่งบัส หรือมาไม่ทัน ไม่มีวิ่งก็ข้ามไปหาจ้างรถไปได้ที่นี่ มีให้เลือกมากมาย
*ร้านน้ำชา ข้างท่ารถบัส
ได้ตั๋วไปโซนามาร์คมาในราคา 220 รูปี แต่เป็นบัสคนละคันกันกับชาวแก็งค์เราเมื่อวานที่มาเจอกันอีกครั้ง เวลารถเราออกช้ากว่าเลยไปหาไรรองท้องก่อน
เดินออกมาริมถนนไม่ไกลนักก็มาเจอร้านชาร้านนี้
*ในร้านน้ำชา
นอกจากชาแล้วก็มีเบเกอรี่อีกด้วย น่ากินครับร้านนี้ชาก็อร่อย ไม่แพงด้วย
*ป้ายพรีเซนเตอร์เด็กหน้าตี๋ กลางเมืองมุสลิม
รถออกตัวแล้ว พร้อมร้านรวงข้างทางก็ถยอยเปิดตาม
*เขียงขายเนื้อสัตว์
*ฤดูเก็บเกี่ยวผ่านพ้น
*ลำธาร
รถแวะจอดที่ร้านชาริมลำธาร น้ำเย็นวิวสวยมากครับ
*เจ้าตัวนี้นอกจากกินน้ำแล้ว ผมเห็นมันกินถุงพลาสติกข้างลำธารเข้าไปด้วย จะไปดึงถุงออกมาก็กลัวมันจะเอามือผมเข้าไปแทน
*บ้านเรือนรายทาง
*ร้านขายเนื้อแบ้(แพะ)
เห็นห้อยอยู่ทั้งตัว ยกกล้องจะเก็บภาพ พี่แกเอาเลยเดินไปหยิบหัวเจ้าตัวที่ห้อยอยู่มาโชว์ กลัวเราจะสงสัยว่าตัวอะไร
*ใกล้ถึงแล้วครับ สองข้างทางเริ่มเป็นภูเขาหิมะยอดสีขาวโพลนโดยรอบ
*แสงสวรรค์ส่องผ่านภูเขาหิมะด้านหลัง
*จุดจอดรถ
บรรดาคนเลี้ยงม้าก็เข้ามาเรียกหาลูกค้า ในทันที
*รถบัสเราจอดอยู่ข้างร้านอาหารร้านนี้หละครับ
*เด็กจอมตื้อ
เราเดินมาทางฝั่งตรงข้ามกับร้านอาหารเพื่อเไปยังกราเซียร์ สองหนุ่มก็ตามมาตลอดทาง ราคาก็ลดลงมาเรื่อยๆ จนอยู่ที่ 2 ตัว 300 รูปี แต่เราระบมแล้วขืนวันนี้นั่งอีก อาจจะนั่งไม่ได้อีกเลย ขอเลือกเดินจะดีกว่า แม้เจ้าเด็กน้อยจะบอกว่าเราเดินไม่ไหวหรอกมันไกลเอามาก
อย่ามาหลอกกันดีกว่าเจ้าหนู แต่…ผมกลับคิดผิดถนัด
เจ้าหนู 2 คนมันพูดจริงแฮะ
*ศาลาพักหอบ
นั่นไงเดินข้ามเนินมาเนินเดียว ยังไทนไรก็แอบมานั่งหอบที่ศาลากลางเนินเขาสีเขียวที่เค้าจัดวางไว้ให้ชมวิวซะแล้ว สองหนุ่มยังคงตามมาอยู่เหมือนรู้ว่าเราไปไม่รอดหรอก 555+
แต่เรื่องไรจะยอมแพ้วะ เสียหน้าหมด555+ เดินต่อๆ
*วิวสวยตลอดทางที่เดินไปเลยครับ
*เดินตรงไปที่เขาหิมะลูกที่เห็นอยู่ตรงหน้า ด้วยคิดว่าต้องอยู่แถวนั้นแน่ๆ
*ม้านอกเวลางานก็ถูกปล่อยเป็นอิสระเดินรับลมหนาวหาหญ้ากินอย่างสบายใจ
*เดินข้ามมาได้ 3 เนินก็เริ่มเห็นอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ผิดครับมันยังไม่ใช่เขาที่อยู่ตรงหน้า ผมจะต้องเดินอ้อมเขาที่อยู่ทางซ้ายมือลัดเลาะไปอีกไกลจากนี้มากครับ เพราะนี่เดินมาได้ 1 ใน 4 เอง
*เลี้ยวเลาะมาแล้วครับ
เดินอ้อมเขามาทางซ้าย และยังต้องเดินไปจนกว่าจะสุดปลายเขาด้านขวาหนะครับ จากหนาวเดินจนเหนื่อยก็เริ่มร้อนจนเหงื่อออก เมื่อไหร่จะถึงหว่า เดินมาได้ก็เกือบ 1 ชั่วโมงแล้ว สองสาวก็ไม่เดินต่อมาด้วยแล้วคงหายไปถ่ายรูปแน่ ยืนรออยู่นาน เลยต้องออกเดินต่อเดี๋ยวกลับมาไม่ทันรถตอน 5 โมง
*หนทางยังอีกไกล มีแต่ทิวทัศน์ที่ทำให้มีกำลังเดินต่อ
ม้าหลายตัวของนักท่องเที่ยวคนอื่นเริ่มทยอยแซงไป บ้างก็ไปถึงกราเซียร์แล้วก็เดินสวนกลับมา ยังดีที่มองไปไกลๆหน้าหลังยังเห็นคนบ้างไม่งั้นมีหวิวๆเหมือนกัน
*ยังต้องอีกกี่โค้งกันเนี่ย
ความงามช่างเข้าถึงอยากเสียจริง ลีลาซ่อนเร้นเยอะ ลึกลับและน่าค้นหา นี่คงเป็นเสน่ห์ที่ทำให้อยากพบเห็นและเดินไปถึง
ธารน้ำจากภูเขาที่เลาะเลียบทางเดิน ช่างใสและเย็น เสียงของต้นไม้กระทบกัน เสียงของน้ำที่ไหลในลำธาร เสียงลมหนาวหวิวๆ เสียงหิมะจากบนภูเขา ที่ส่งเสียงเป็นเพื่อนตลอดทาง
นานๆจะมีเสียงฝีเท้าม้าที่พานักท่องเที่ยวสวนมาทักทายด้วยฮัลโลกันบ้าง
*มุมมองย้อนกลับมา วิวสวรรค์ มากๆ
*เขาหิมะใต้เงา อยู่แค่เอื้อม หากแต่ยังไม่ใช่จุดหมาย
*เลาะเลียบเชิงเขาไปทางซ้ายอีกโค้ง
เดินจนหิวน้ำเห็นลำธารที่ไหลมาจากบนเขาสายเล็กๆ นึกถึงในหนังน่าจะดื่มได้ รองมาดื่มรสฝาดนิดหน่อยแต่ก็ช่วยดับกระหายได้ดี น้ำเย็นจากธรรมชาติบนหุบเขาคงย่อมต่างจากน้ำประปากรองแช่เย็นที่อยู่ในตู้เย็นที่บ้านแน่ๆ
*ธารน้ำแข็งค้างปี
ถึงแล้วครับมานั่งหอบโดยยังไม่รู้ตัวเลยว่าถึง ในรูปภายในโพลงยังคงมีน้ำไหลออกมาเป็นลำธารอย่างต่อเนื่อง
*หิวแล้วครับ
เดินมากว่า 1 ชั่วโมง 45 นาที ตั่งแต่บ่ายโมงตรงจนนี่เกือบบ่าย 3 แล้ว ข้าวเที่ยงก็ยังไม่ได้เสพ เจอร้านขายชา มีบะหมี่รสแกงกระหรี่ยี่ห้อแม๊คกี้ขายด้วย เลยสั่งมาลองท้อง
จุดนี้เป็นจุดจอดม้าเพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นไปชมหิมะและกราเซียร์ด้านบน มีม้าจอดอยู่เกือบร้อยเลยครับ มองมาไกลๆทีแรกคิดว่าเป็นชุมชนคนเลี้ยงม้าที่อยู่กลางหุบเขาเสียอีก
จากจำนวนม้าก็รู้เลยว่านักท่องเที่ยวมีมากทีเดียว
*กระดานเลื่อน ก็มีให้บริการ
เดินมาข้างบน เห็นบริการนั่งกระดานเลื่อนลงเนิน มาตั่งแต่ตอนนั่งกินบะหมี่ข้างล้างแล้วเพราะจุดจอดอยู่ข้างร้านขายบะหมี่ที่ผมนั่งอยู่เลย ซึ่งก็ลองใช้บริการตอนลงเนินกลับซะเลย โดยเค้าจะนั่งหน้าเป็นคนบังคับทางและเราก็นั่งหลัง เกาะเค้าลงไป หากลงไปเองมีหวังหลุดโค้งหน้าทิ่มเชียว
*ธารน้ำแข็ง
คนลงไปเซาะน้ำแข็งออกมาปาเล่นกันใหญ่
*หิมะค้างปี ในวันที่ฤดูหนาวใหม่ยังมาไม่ถึง
*มองไปเบื้องหน้า
จากทางนี้มุ่งตรงข้ามเนินเขาไปเรื่อยๆก็จะเข้าเขตเลห์แล้วหละครับ แต่มันคงไกลมากทีเดียว
*มองย้อนกลับ
*ฝูงม้าอิงแอบให้อบอุ่น
*ทุ่งหญ้ากว้าง ระหว่างทางเดินกลับ
ขากลับอยากจะได้ม้าก็คงไม่มีเพราะทุกตัวถูกเช่ามาแบบไป-กลับ เมื่อมาถึงก็หายเหนื่อย ก็คิดว่าเดินกลับท่าจะไหว ขากลับระยะทางเท่าเดิมแต่ความรู้สึงเหมือนมันสั้นลง ด้วนเพราะเราคุ้นกับทางแล้ว
*ม้าทำหน้าที่ของมันเสร็จแล้ว อิสระก็กลับมาอีกครั้ง
ขากลับเดินเจอคู่สามีภรรยาจากัลกัตตา และคนบนรถที่เจอเมื่อวานเดิน มาร่วมเป็นเพื่อนเดินด้วย
ก่อนขึ้นรถกลับก็แวะหาไรกินกันที่ร้านอาหารใกล้ที่รถจอดด้วยยังพอมีเวลาเหลือ
*แสงทองยามเย็นเคลือบผืนป่าข้างทาง
*ตรอกหลังโรงแรม ท่ามกลางพระจันทร์เต็มดวง
กลับมาถึงประมาณทุ่มครึ่ง เดินฝ่าลมหนาวออกไปหาข้าวเย็น กลับออกมาหวังจะไปหาร้านซื้อของกลับปิดเข้านอนกันไปหมด อันที่จริงก็เริ่มวายตั่งแต่ตอนเรากลับมากันแล้ว
พบกันใหม่วันพรุ่งนี้กับ วันที่4 ^^^^เดินย่ำทะลุตรอก ชอนไชกลางเมืองเก่า^^^^
ถ้ามีโอกาศน่าจะไปอีกครั้ง เราไปมาเดือนมีนาสวยมากๆๆๆๆๆ เดินแล้วสนุกสนานเต็มไปด้วยหิมะ
อยากไปเหมือนกันครับ สนุกๆนะครับ
สุดยอดมากครับ ผมฝันอยากจะไป
ยังดินอันแสนสวยแบบนี้มานาน
น่าอิจฉาครับ อิอิ
ความสวยที่อยู่ในฝัน…….
ไปเดือนอะไรคะ ค่าใช้จ่ายเท่าไรคะ