สี่แผ่นดิน อินโดจีน : จากสยามสู่ กัมพูชา-เวียดนาม-ลาว : วันที่ 10

 

16 พ.ค. 2549
1
Hip Hop Yen

หกโมงครึ่งเห็นจะได้รถเริ่มเข้ามาในตัวเมืองแล้ว รถมาจอดให้นักท่องเที่ยวลงไปดูที่พักนึงซึ่งพนักงานของที่พักเดินขึ้นมาขายห้องถึงบนรถเลย แต่ด้วยราคาห้องที่แพงราว 8-10 $ และอยู่ค่อนข้างไกลจากในตัวเมือง ไอ้ผมราคานี้อย่าหวังได้เงินจากผมเลยเชียว และก็คงจะเช่นเดียวกันคนทั้งรถก็พร้อมใจกันปฎิเสธไม่ลงไปดูห้องเลยซักคน ปล่อยให้น้องพนักงานเดินลงไปอย่างเดียวดายพลางแอบบ่นเล็กน้อยในใจ

*ห้องผมอยู่ชั้นสอง มีระเบียงไว้ยืนกินลม

รถขับมาอีกโรงแรมซึ่งขณะนี้ก็อยู่ใกล้ใจกลางเมืองมากแล้ว โรงแรมนี้ชื่อ Hop Yen เจ๊พนักงานในชุดประจำชาติเชิญชวนให้ลงไปดู ตอนแรกผมนั่งดูเชิงก่อนออกจะเล่นตัวเล็กน้องแต่พอได้ยินคำว่าดอร์มเท่านั้นหละหูเพิ่งรีบเอากระเป๋าเดินตามลงไปดูห้องเลย ที่นี่ดูแล้วค่อนข้างใหม่ภายนอกสวยงามใช่เล่น

*บรรยากาศภายในที่ชวนฝัน

ราคาห้องพักแบบรวมอยู่ที่ 4 $ ต่อคืนพยามต่อแล้วก็ไม่สำเร็จ ผมเลยขอไปดูห้องแบบเดี่ยวบ้าง ห้องเดี่ยวมีห้องน้ำในตัว แอร์ พัดลม ทีวี ตู้เย็น ครบครันจนคิดว่ามากไปเสียด้วยซ้ำในราคาคืนละ 6 $ แต่ผมกลับชอบห้องนี้ตรงที่มันมีระเบียงยื่นออกไปชมวิว เลยตัดใจจากดอร์มมาเอาแบบนี้ดีกว่า เพราะคิดว่าพักแค่คืนเดียวเอาหรูขึ้นนิดจะเป็นไร

2
เมื่อมี่เซิน ไม่ใช่มายซัน

ผมเห็นป้ายขายทัวร์ไปหมี่เซิน(My Son ) ที่ติดอยู่ด้านล่างของที่พัก เลยลงไปดูลายละเอียดอีกที ป้ายบอกราคา 2 $ สำหรับค่ารถไป-กลับและไกด์ และแบบ 4 $ ที่ไปรถแต่กลับทางเรือที่ล่องมาตามแม่น้ำทูโบน ซึ่งจะออกทุกวันเวลา 8โมงครึ่ง มองดูนาฬิกานี่เกือบ 7 โมงครึ่งแล้ว จะช้าอยู่ใยเลยรีบจองกับเจ๊พนักงานของที่พักทันที แต่ผมคงเลือกแบบแรกดีกว่า ตอนนี้จะไปไหนก็ไปแล้วแปดโมงกว่าๆ ค่อยกลับมารอขึ้นรถที่หน้าที่พัก

*ร้านตรงข้ามห้องพัก

เดินข้ามมาหาอะไรกินฝั่งตรงข้ามที่พัก สั่งกาแฟกับบาแก็ตมากินกันตาย นอกจากนี้ร้านนี้ยังมี เคาเหลา(Cau Lau) ที่มีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยวแห้งขายอีกด้วยไว้วันหลังค่อยมาลอง

กลับมาขึ้นรถที่มาตรงเวลา จากฮอยอันไปมี่เซินใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึง ไกด์เรียกเก็บเงินไปจ่ายค่าตั๋วคนละ 60,000 ดอง พร้อมกับตั้งชื่อไว้เรียกระดมพลกลุ่มเราซะน่ารักว่า “ไทเกอร์” บนรถไกด์เล่นมุกเรียกมี่เซิน ว่ามายซัน ทำเอาขำกันทั้งรถ อันที่จริงผมว่าแว้บแรกที่เห็นหลายคนคงเผลอออกเสียงผิดเป็นแน่ รวมทั้งผมก็ด้วย ยอมรับครับยอมรับ

จากจุดที่รถจอดส่งบริเวณที่ขายตั๋วและอาคารพิพิทธภัณฑ์ที่ญี่ปุ่นมาช่วงสร้างให้อย่างสวยงาม เราจะต้องเดินเข้าไปอีกซักระยะข้ามสะพานไปเพื่อไปต่อรถตู้ หรือรถจี๊ปที่มีอยู่อย่างละ 2 คันที่ให้บริการเพื่อขึ้นไปบนเขาใกล้โบราณสถานฟรี แต่หากใครอยากเดินขึ้นไปก็ย่อมทำได้ แต่อากาศที่ร้อนตับแตกประกอบกับระยะทางที่ไกลและลาดชันพอควร ก็อย่าอินดี้นักจะดีกว่ามีรถฟรีก็จงใช้ซะ

ข้างบนเรายืนฟังไกด์อธิบายกลุ่มเมืองโบราณที่มีอยู่กระจายไปหลายกลุ่มตั้งแต่ A-K ในอาคารที่จัดแผนที่แสดงผังขอบเขตเอาไว้ พร้อมทั้งอธิบายประวัติประกอบ

*หลงเหลือจากสงคราม

ที่นี่เป็นกลุ่มโบราณสถานในอาณาจักรจามปา ของชนชาติจาม ซึ่งมีถิ่นฐานและศูนย์กลางอยู่ในพื้นที่ตอนกลางของประเทศเวียดนาม อยู่ในยุคสมัยระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-18 และสร้างตามคติของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

 

*หลงเหลือ 1

*หลงเหลือ 2

เราเดินออกไปตามทางเดินเท้าเพื่อไปยังกลุ่มโบราณสถานตามเส้นทางที่จัดไว้ ผ่านอาคารแสดงนาฎศิลป์ของชนชาติจามที่กำลังแสดงกันอยู่ แต่ผมก็นั่งดูอยู่ได้ไม่นานนักก็ออกมา โบราณสถานกลุ่มแรกที่พบ ประกอบด้วยกลุ่ม  B-C-D ที่ยังคงหลงเหลือสภาพดีที่สุดในทุกๆกลุ่ม โดดเด่นด้วยรูปทรงของหลังคาที่สวยได้ใจมากถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ก็ตาม นอกจากนี้ภายในอาคารโบราณสถานบางหลัง ยังมีโบราณวัตถุจัดวางให้ได้ชมกันด้วยหลังจากไกด์อธิบายเสร็จก็ปล่อยให้เดินกันเอง แล้วกลับไปเจอกันที่ข้างล่างในตอนเที่ยง

 

*ท่ามกลางเหยื่อสงคราม

สภาพปัจจุบันนของมี่เซินค่อนข้างทรุดโทรมที่เกิดจากกาลเวลาแล้วก็ยังเป็นผลพวงมาจาก เหตุการในช่วงสงครามระหว่างอเมริกาและเวียดกง เมืองโบราณถูกระเบิดปูพรมที่ทิ้งจากเครื่องบิน เพื่อขับไล่ทหารเวียดกงที่มาหลบภัย 

จากเหตุการณ์นี้จึงทำให้สภาพเมืองโบราณมี่เซินพังราบเรียบไปกว่า 70 % แต่จากที่มาเห็นด้วยตาในตอนแรกคิดว่ามันน่าจะมากกว่านั้นเสียอีก สงครามได้ทำลายสิ่งดีๆ ที่มรดกในอดีตแห่งนี้ใช้ศรัทธาจากประชาชนที่มีต่อศาสนาที่ตนเคารพในการบรรจงสร้างขึ้น ให้พังทลายหายไปในพริบตา

ยิ่งเดินมาดูยังกลุ่มปราสาท A และ G แล้วก็ยิ่งหนักใจบางส่วนแทบไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว นอกจากฐาน และกองดิน จนคิดว่านี่เรากำลังมาดูเศษซากจากสงครามหรือมาดูอารยธรรมกันแน่ หรือมันจะเป็นทั้งสองอย่างกันหว่า !

*ธรรมชาติข้างทาง

หลังจากที่เดินตามทางเดินวนเป็นวงกลม ไปยังกลุ่มปราสาทต่างๆก็ผ่านธรรมชาติที่ร่มรื่น เห็นขุนเขา ข้ามธารน้ำ เพลิดเพลินใจดี บ้างก็มีเก้าอี้ให้นั่งฟังเสียงนกร้อง และน้ำไหลเลยทำให้เดินง่าย ไม่เหนื่อยนัก ก็วกกลับมายังจุดเริ่มต้นอีกครั้งเป็นอันเสร็จสิ้น ก็นั่งรถกลับลงมาข้างล่าง

*ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์

*ริมระเบียงด้านหลัง

มีเวลาเหลือเลยเดินเข้าไปยังอาคารพิพิธภัณฑ์ งานก่อสร้างอาคารที่เนี้ยบและสวยงามตามแบบฉบับงานออกแบบญี่ปุ่น ก็ดูดีทันสมัยไม่น้อย ข้างในก็จัดแสดงผัง ประวัติ และวัตถุโบราณอยู่พอประมาณไม่มากนัก ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไปอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ที่ดานังหมด ด้านหลังอาคารก็ติดลำธาร ให้ได้ไปยืนมองดูฝูงวัวกำลังเล่นน้ำ ก่อนที่จะมารอขึ้นรถ

ขากลับรถมาจอดส่งคนที่บริเวณท่าเรือสำหรับคนที่ซื้อทัวร์แบบกลับทางเรือ รถกลับมาส่งถึงตามกำหนดในเวลาบ่ายโมงตรง

3
ฮอยอัน…พิพิธภัณฑ์เมืองชีวิต

เข้ามาเดินเล่นอยู่ในเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นมรดกโลก สภาพบ้านเมืองและการใช้ชีวิตที่ดำเนินไปตามปรกติ อาจจะมีบ้างที่ปรับเปลี่ยนไปตามกระแสของเมืองที่เป็นเมืองท่องเที่ยว แต่ก็ไม่มากนักเมื่อเทียบกับ เมืองอื่นๆทั่วไปที่ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

ปฎิเสธไม่ได้ว่าการเป็นมรดกโลกมีส่วนช่วยหยุดยั้งความเจริญที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงได้ สภาพของเมืองก็ได้รับการจัดการที่ดีตามมา ชาวบ้านก็อยู่ร่วมกันกับเมืองได้ และทำให้เมืองดูมีชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น โดยคงความเป็นเมืองพิพิธภัณฑ์ที่ยังมีลมหายใจ

*ร้านL’OCCITANE

*รออวดโฉม

*Truong Family Chapel

*สีสดใส

บ้านหลายหลังถูกปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม Tran Family’s Chapel ที่ผมเดินเข้าไปนี้ก็เช่นกัน พนักงานสาวเข้ามาถามหาตั๋วเข้าชม ผมถามถึงจุดที่ขายตั๋ว ซึ่งเธอบอกทางได้ดีมาก แต่ผมดันไม่เข้าใจและยืนทำหน้างง

เธอเลยจัดการนำเงินผมขึ้นจักรยานปั่นไปซื้อตั๋วมาให้เองเลย ดุจะง่ายกว่าการมานั่งอธิบายเจ้าเซ่ออย่างผม อันที่จริงจุดขายตั๋วมีอยู่หลายจุด กระจายอยู่ในเขตเมืองเก่าซึ่งหาได้ไม่ยากเลย

 

*สี่แยก

*บ้านเรือน

*ใต้หลังคาที่ถูกปกคลุม

บัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์เมืองชีวิตแห่งนี้มีราคาค่างวด 75,000 ดอง หรือประมาณ 5 $ ซึ่งเป็นบัตรชุดสำหรับการเข้าชมสถานที่ต่างๆในเมือง 5 กลุ่มหลัก

ซึ่งในแต่ละกลุ่มจะมีสถานที่ที่มีลักษณะใกล้เคียงกันให้เลือกอยู่ 2-4 ที่แล้วแต่กลุ่ม ซึ่งเราจะเลือกได้เพียง 1 ที่เท่านั้นในแต่ละกลุ่มที่มีดังนี้

1. กลุ่มพิพิธภัณฑ์ (Museum)
2. กลุ่มสมาคมชาวจีน(Ambassy Halls)
3. กลุ่มบ้านโบราณ(Old Houses)
4. กลุ่มการแสดงโบราณและงานหัตถกรรม (Intangible Culture)
5. กลุ่มจุดที่น่าสนใจอื่น ๆ(Other)

*ในบางมุม

บ้าน Tran Family’s เป็นหนึ่งใน 4 ของบ้านโบราณที่เปิดให้เข้าชม พนักงานภายในบ้านเชิญให้ผมเข้าไปข้างใน ตามด้วย Wellcome Drink ที่เป็นน้ำชา เทียนถูกจุดเพื่อให้ความสว่างแบบสลัวๆได้บรรยากาศแบบเก่าๆ ไกด์ก็เริ่มอธิบาย บ้านแห่งสร้างเป็นที่เคารพสักการะบรรพบุรุษของตระกูล Tran ที่ต้นตระกูลอพยพมาจากเมืองจีน

พนักงานสาวพาเดินชมมาจนถึงบริเวณด้านหลังที่เป็นส่วนขายของที่ระลึก เธอผูกสร้อยข้อมือชิ้นนึงกับแขนผมพร้อมเรียกเงินค่าสร้อย 45,000 ดอง โดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวคิดว่าเป็นของกำนัลเสียอีก ต่อรองแล้วก็ไม่ยอมลดเลยได้สร้อยข้อมือแสนแพงติดข้อกลับออกมา พร้อมอาการยังงงๆอยุ่

*ลานกลางบ้าน

ผมยังคงเดินเข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้อยู่หลายหลัง ก็เพราะบ้านหลายหลังกลายเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่ล้วนน่าสนใจและเชิญชวนให้เข้าไปเหลือเกิน

 

*อีกมุม

*เขียว+เหลือง

*น้ำเงิน+เหลือง

แม้บางบ้านที่ไม่ได้อยู่ในบัตรชุดบางแห่งก็เปิดเป็นแกลลอรี่น่ารักๆ ให้เข้าไปชมและเลือกซื้อภาพวาด บ้านที่เข้าไปได้ก็จะมีป้ายบอกอยู่ด้านหน้าให้ได้สังเกตุ

*จับจ่าย

*บรรยากาศกลางเมือง

*สวย+ทุกหลัง

*ริมแม่น้ำทูโบน

*ในตรอกซอกซอย

เดินไปเรื่อยแบบเพลินๆ ไปๆมาๆก็เล่นซะเกือบรอบเมืองเลย เพียงเพื่ออยากเห็นทุกๆที่ในบัตรก่อนเพื่อตัดสินใจ ก่อนที่จะกลับมาดูที่เล็งไว้อีกทีในวันพรุ่งนี้

*ข้างสะพาน

*ด้านหน้าสะพาน

เดินไปมาก็มาโผ่ลที่สะพานญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสะพานข้ามคลองสร้างโดยสมาคมชาวญี่ปุ่นในฮอยอันเมื่อกว่า 400 ปีมาแล้ว ตัวสะพานมีรูปแบบผสมผสานระหว่าง ญึ่ปุ่น จีน เวียดนาม เป็นสะพานที่มีหลังคาปกคลุม อีกทั้งบนสะพานยังมีศาลเจ้าเล็กๆให้ผู้คนที่สัญจรผ่านมาได้กราบไหว้ขอพรอยู่ด้วย

 

*โรงงานปักผ้า

*แหล่งงานศิลป

ผมกลับมาที่พักเพื่ออาบน้ำและนั่งพัก หลังจากที่เดินเพลินจนเหนื่อยและเมื่อยเต็มแก่

4
เมื่อได้เวลากิน แล้วก็กิน

อาบน้ำนั่งพักก็ออกมาเช่าจักรยานที่ร้านอาหารหน้าที่พักในราคา 10,000 ดอง โดยป้าแกใจดียอมให้ผมเช่าได้จนถึงพรุ่งนี้ตอนเย็นเลยโดยไม่คิดเงินเพิ่ม

อันที่จริงการเช่าจักรยานก็ดูจะสะดวกและรวดเร็วดีสำหรับการขี่ชมเมือง แต่หากใครมีเวลามากและชอบเดินหน่อย การชมเมืองฮอยอันด้วยการเดินก็ได้อรรถรสไปอีกแบบ 

*ระหว่างทาง

ผมขี่จักรยานวนชมเมืองอีกรอบก่อนกลับมาหาร้านอาหารสำหรับมื้อเย็นแถวๆอาคารริมแม่น้ำทูโบน แสงไฟจากร้านอาหารและบ้านเรือนส่องสว่างไสว สะท้อนลงน้ำไปตลอดแนว

ขี่ไปจนสะดุดตาต้องใจกับร้าน Cafe Can ที่ใช้อาคารแบบโคโลเนียลริมน้ำ มาทำเป็นร้านอาหารทำให้บรรยากาศดูน่านั่งและจะยิ่งเหมาะมากถ้าพาคนรักมาด้วย แต่ไม่เป็นไรถึงผมมาคนเดียวก็โรแมนติกได้

*มื้อเย็น

ผมสั่งปลาห่อใบตองย่าง กับข้าวเปล่า พร้อมเบียร์อีกหนึ่งขวด หน้าตาของปลาที่ดูดีในห่อใบตอง มาพร้อมกับรสชาติที่ดีตามไม่ผิดหวัง  แถมเห็นร้านหรูๆอย่างนี้ราคากลับไม่แพงมากอย่างที่คิดซึ่งทั้งหมดเพียง 61,000 ดอง หรือราว 150 บาท

*ใต้แสงโคมหน้าร้าน Tam Tam Cafe

เมื่อได้อาหารคาวแล้วก็ต้องหาของหวานมาตบลงท้องตาม และก็ได้มานั่งกินขนมชมบรรยากาศอยู่ที่ร้าน Tam Tam Cafe ที่การตกแต่งร้านที่ดูดีและดูน่าอร่อยกับ เครื่องดื่ม ขนมเค้ก และเบเกอรี่ ที่มีให้เลือกมากมาย และก็ไม่ผิดหวังอีกเช่นเคย เมื่อได้ของอร่อยคืนนี้คงนอนเป็นสุขแน่

~ โดย dreamakersay บน เมษายน 17, 2007.

2 Responses to “สี่แผ่นดิน อินโดจีน : จากสยามสู่ กัมพูชา-เวียดนาม-ลาว : วันที่ 10”

  1. ชอบมากค่ะ เขียนได้ความรู้ กำลังจะไปเขมรพอดี ^^

  2. ได้ความรู้สึกดี

ใส่ความเห็น