สี่แผ่นดิน อินโดจีน : จากสยามสู่ กัมพูชา-เวียดนาม-ลาว : วันที่ 12
18 พ.ค. 2549
1
สู่มรดกโลกแห่งล่าสุด…ฟองญา-เคบัง
*เรือมังกรเรียงรายรอผู้มาเยือน
รถแท็กซี่สีขาว สภาพดี พร้อมโชเฟอร์มารอรับพวกเราแต่เช้า
เราบอกให้พี่คนขับแวะหาร้านทานอาหารเช้ากันก่อน เฝอดูจะเป็นตัวเลือกที่พี่คนขับคิดว่าเหมาะกับพวกเรา เฝอเนื้อที่ร้านตึกแถวข้างทางรสชาติพอใช้ได้แต่ราคานี่สิ มันกลับดูแพงกว่าที่เราคิดไว้เสียแล้ว เพราะความหิวเราเลยลืมที่จะถามราคาก่อนสั่ง เปิดช่องให้เจ๊แกปล่อยราคาออกมาจนใจเสีย ยังดีที่แพงกว่าปรกติไม่มากนักพอรับได้
กลับมานั่งที่รถออกเดินทางกันต่อ ตลอดสองข้างทางเริ่มเห็นทุ่งนากว้างใหญ่เป็นสีเขียว สีทอง ผ่านชุมชนเล็กๆที่เรียงรายอยู่สองฝั่งถนนเป็นช่วงๆ รถก็ขับหลบขวาทีซ้ายที ให้กับรถมอเตอร์ไซด์ และรถจักรยาน ซึ่งมักขี่กันกลางเลน บางทีก็เรียงหน้ากระดานกินไปหนึ่งเลนเต็มๆ ทั้งๆที่ถนนก็มีอยู่แค่ไป-กลับอย่างละเลนเท่านั้น โดยไม่มีทีท่าว่าจะชิดข้างทางหลบรถที่ตามหลังมาเลย แม้จะบีบแตรเตือนแล้วก็ยังคงนิ่งเฉยไม่มีหลบ
นอกจากนี้บางช่วงยังต้องมาหลบเมล็ดข้าวเปลือกที่ชาวบ้านใช้ถนนกว่าครึ่งเลนมาปูเป็นที่ตากแดดอีก และก็มักเป็นอย่างนี้ไปตลอดทางเลย
ซ้ายทีขวาทีมาจนถึงที่หมาย ที่รู้ก็เพราะเจ้าป้ายเครื่องหมายมรดกโลกที่ติดเด่นเป็นสง่าอยู่ที่หน้าเขาทางเข้า ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งใหม่ของเวียดนามในปี 2000 นั่นย่อมประกันถึงหมายความว่าที่แห่งนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่น และก็คงคิดไม่ผิดเป็นแน่ที่ตัดสินใจมา ถ้ำฟองญาเป็นที่รู้จักของชาวบ้านมานานแล้ว แต่ยังไม่เป็นที่นิยมนักของนักท่องเที่ยว
2
มื้อกลางวัน ที่กว่าจะได้ทาน
รถมาจอดให้เราลงอยู่ที่ด้านหน้าอาคารขายตั๋ว พวกเราตัดสินใจไปหาอะไรกินเป็นอาหารกลางวันที่เพิงร้านอาหารด้านนอกติดริมน้ำที่มีอยู่หลายเจ้าให้สุ่มเลือกเหมือนซื้อหวย
เรามานั่งอยู่ที่ร้านนึงที่คนขายพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย จนต้องลำบากไปตามคนที่ร้านข้างๆมาช่วย ซึ่งสถานการณ์ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิม เรายังคงใช้ภาษามืออย่างหนักหน่วงเช่นเดิม ไม่นานจากหนึ่งคนเป็นสองและสามจนกลายเป็นม็อบชาวบ้านย่อยๆมารุมล้อมพวกเราไปแล้ว
อันที่จริงแล้วเมนูที่มีก็เป็นภาษาอังกฤษ แต่พวกเราอยากรู้ปริมาณของอาหารและราคาด้วย มันก็เลยเป็นที่มาของปัญหาที่สืบมาแต่สมัยหอคอยบาเบล
จากสื่อสารกันที่โต๊ะไม่พอเรายังต้องเดินไปกันถึงในครัว เพื่อที่จะได้เข้าใจอย่างตรงกันไม่ใช่สั่งอย่างออกมาเป็นอีกอย่าง จนเราและพวกชาวบ้านที่เข้ามาเริ่มเป็นกันเองจากความเกร็งๆของพวกเค้าก็เริ่มกลายเป็นผ่อนคลาย และสนุกสนานกับการสั่งอาหารของพวกเรา ทำท่าอะไรไปก็เป็นต้องตลกไปเสียหมด จนดูเหมือนพวกเรารู้จักกันมานาน
เมื่อภาษาไม่อาจขวางกันไม่ให้เราได้กินแล้ว ไม่นานนัก ปลาไหลย่าง กุ้งนึ่ง และข้าวเปล่า ก็มาตั้งส่งกลิ่นอยู่ตรงหน้าแล้ว เรื่องรสชาตินั่นเขียนบรรยายไปก็ไม่เท่ากับที่อยากให้ได้มาชิมเอง โดยเฉพาะปลาไหลที่ผมทักท้วงไปว่ามันไม่เหมือนปลาไหลญี่ปุ่นนะ ด้วยกลัวว่ารสชาติจะต่างแต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลยครับ
เนื้อปลาไหลแม่น้ำกับเครื่องเทศที่หมักพร้อมการปรุงรสที่พอเหมาะก่อนนำมาย่างบนเต่าถ่านให้หนังพอกรอบและส่งกลิ่นหอม เสริฟ์ทมาพร้อมกับน้ำจิ้มที่มีมะนาวพริกไทยเป็นหลัก ก็ทำให้จานนี้มันอร่อยอย่างเหลือเชื่อ!
3
จากลำน้ำ…สู่ถ้ำบนเขา
*สองข้างทาง
*จุดจอด…สู่ถ้ำบนเขา
*สายน้ำที่ผ่านมาจากวิวบนภูเขา
*มหัศจรรย์อยู่เบื้องล่าง
*****************************************เดี๋ยวมาต่อ**************************************